แนวทางการใช้งานเส้นอุมบันดา

 

เส้นอุมบันดาคืออะไร?

  • อุมบันดาเป็นระบบศาสนาและพลังงานเชิงจิตวิญญาณของบราซิล ที่เชื่อมโยงกับองค์เทพ พลังธรรมชาติ และการปรับสมดุลทางพลังงาน.
  • ใช้พลังจาก Orishas (องค์เทพ) และจิตวิญญาณนำทางเพื่อการเยียวยา.

การเริ่มต้นใช้งาน:

  1. เข้าใจ Orishas และองค์เทพ:

    • Orishas เป็นตัวแทนของพลังธรรมชาติ เช่น
      • Oshun (น้ำและความรัก).
      • Shango (พลังงานไฟและความยุติธรรม).
    • เลือก Orishas ที่สอดคล้องกับพลังงานของคุณ.
  2. สร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์:

    • จัดที่สำหรับทำพิธี เช่น โต๊ะบูชา (altar) พร้อมด้วยเทียน น้ำดื่ม หรือเครื่องบูชาธรรมชาติ.
  3. ทำสมาธิเชื่อมพลังงาน:

    • ใช้บทสวด (หรือเพลง) ที่เกี่ยวข้องกับอุมบันดาเพื่อเปิดพลังงานเส้นทาง.
    • ฝึกการเชื่อมต่อกับพลังธรรมชาติ เช่น การยืนบนดินหรืออยู่ใกล้น้ำ.
  4. ผสานพลังงานกับเรอิกิ:

    • ใช้พลังงานเรอิกิในการช่วยปรับสมดุลขณะเรียกพลัง Orishas หรือทำพิธี.
    • รู้สึกถึงพลังงานที่ไหลเวียนรอบตัวและส่งไปยังผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ.

3. เคล็ดลับสำหรับผู้เริ่มต้น

  • ฝึกฝนความอดทนและสม่ำเสมอ.
  • เปิดใจเรียนรู้จากแหล่งต่างๆ ทั้งเรอิกิและอุมบันดา.
  • จดบันทึกประสบการณ์เพื่อวิเคราะห์ความก้าวหน้าของตนเอง.
  • หาชุมชนหรือกลุ่มที่มีความสนใจเหมือนกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้.

 

 

เริ่มต้นบำบัดด้วยคลื่นเสียง

 

ประโยชน์ของการบำบัดด้วยเสียง:

  • ลดความเครียดและความวิตกกังวล
  • ส่งเสริมการผ่อนคลายและการนอนหลับ
  • ปลดปล่อยพลังงานที่ติดขัดในร่างกาย
  • ฟื้นฟูสมดุลพลังงานและสุขภาพโดยรวม

 

การบำบัดรักษาสุขภาพ เริ่มต้นด้วยคลื่นเสียงความถี่เท่าไหร่ และเพราะอะไร
 

การบำบัดรักษาสุขภาพด้วยคลื่นเสียงสามารถเริ่มต้นได้จากความถี่ที่หลากหลาย โดยทั่วไปขึ้นอยู่กับเป้าหมายในการบำบัด เช่น การลดความเครียด ฟื้นฟูร่างกาย หรือปรับสมดุลพลังงาน ทั้งนี้ ความถี่ที่ใช้มักมีความสัมพันธ์กับการตอบสนองของร่างกายและจิตใจต่อการสั่นสะเทือนที่แตกต่างกัน

ตัวอย่างความถี่ที่นิยมใช้และเหตุผล:

  1. 174 Hz (คลื่นความถี่พื้นฐานสำหรับการผ่อนคลาย):

    • ความถี่ต่ำที่ช่วยลดความเครียดและลดความเจ็บปวดในร่างกาย
    • ใช้กระตุ้นความรู้สึกปลอดภัยและเสริมสร้างสมาธิ
  2. 285 Hz (ฟื้นฟูเนื้อเยื่อและอวัยวะ):

    • เชื่อมโยงกับการกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูในเซลล์
    • ช่วยปรับสมดุลพลังงานในร่างกาย
  3. 432 Hz (ความถี่แห่งธรรมชาติ):

    • เชื่อว่าคลื่นความถี่นี้สอดคล้องกับธรรมชาติและจังหวะของโลก
    • ช่วยเสริมความสงบ ผ่อนคลายจิตใจ และลดความวิตกกังวล
  4. 528 Hz (คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงและการฟื้นฟู DNA):

    • เป็นความถี่ที่นิยมในการบำบัด เพราะเชื่อว่าช่วยฟื้นฟูและปรับโครงสร้าง DNA
    • ใช้กระตุ้นการสร้างความสมดุลในร่างกายและจิตใจ
  5. 639 Hz (เสริมสร้างความสัมพันธ์และการสื่อสาร):

    • เชื่อว่าความถี่นี้ช่วยกระตุ้นความรักและความเข้าใจในความสัมพันธ์
    • เหมาะสำหรับการปรับสมดุลอารมณ์และเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี
  6. 852 Hz (เพิ่มความตระหนักรู้และจิตวิญญาณ):

    • เชื่อมโยงกับการเพิ่มความไวต่อพลังงานและการตื่นตัวทางจิตวิญญาณ
    • ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองและการพัฒนาตนเอง

เพราะเหตุใดจึงใช้ความถี่เหล่านี้:

  • การสั่นสะเทือนและความถี่เสียง มีผลต่อระบบประสาทและการทำงานของเซลล์ในร่างกาย ความถี่เสียงสามารถกระตุ้นการตอบสนองในร่างกาย เช่น การลดความตึงเครียด การฟื้นฟูเนื้อเยื่อ และการปรับสมดุลพลังงาน
  • ความถี่เสียงยังสามารถ ปรับคลื่นสมอง เช่น การใช้ความถี่ต่ำเพื่อช่วยให้สมองเข้าสู่ภาวะคลื่นสมองอัลฟา (Alpha) หรือเธตา (Theta) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการผ่อนคลายและสมาธิ
  • การทดลองทางวิทยาศาสตร์ แสดงให้เห็นว่าคลื่นเสียงบางความถี่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและลดการอักเสบในร่างกาย

การเลือกความถี่เริ่มต้น:

  • หากคุณเริ่มต้นการบำบัด ควรทดลองกับความถี่ที่ต่ำกว่า เช่น 174 Hz หรือ 432 Hz ซึ่งช่วยผ่อนคลายจิตใจและเตรียมความพร้อมสำหรับการบำบัดในระดับที่ลึกขึ้น
  • ความถี่ 528 Hz เป็นอีกตัวเลือกที่ดีสำหรับการฟื้นฟูสุขภาพร่างกายและจิตใจ เพราะได้รับการกล่าวถึงในงานวิจัยและการบำบัดพลังงานบ่อยครั้ง

คลื่นเสียงเหล่านี้ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความสมดุลให้กับระบบพลังงานในร่างกายอย่างยั่งยืน

สรุป หนังสือ จูนนิ่ง ฮูแมน

ขอบคุณข้อมูล จาก Chat GPT

สรุปหนังสือ ด้านสุขภาพ

หนังสือ Tuning the Human Biofield: Healing with Vibrational Sound Therapy โดย Eileen Day McKusick นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการใช้พลังงานเสียงเพื่อปรับสมดุลสนามพลังงานของมนุษย์ (biofield) ซึ่งเป็นพลังงานรอบตัวเราที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพร่างกายและจิตใจ ต่อไปนี้คือการสรุปเนื้อหาของหนังสือใน 40 ข้อ:


แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับสนามพลังงานมนุษย์

  1. สนามพลังงานมนุษย์ (Human Biofield) เป็นสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่ล้อมรอบร่างกาย.
  2. สนามพลังงานมีความเชื่อมโยงกับสภาวะสุขภาพร่างกาย จิตใจ และอารมณ์.
  3. การบำบัดด้วยเสียงใช้การสั่นสะเทือนเพื่อปรับสมดุลสนามพลังงาน.

พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเสียง

  1. เสียงมีผลต่อการสั่นสะเทือนของเซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกาย.
  2. ความถี่เสียงบางช่วงมีศักยภาพในการส่งเสริมการรักษา.
  3. ระบบสนามพลังงานเชื่อมโยงกับเส้นเมอริเดียนและจักระในแนวคิดตะวันออก.
  4. การสะสมพลังงานในสนามพลังงานอาจเกิดจากประสบการณ์ทางอารมณ์ในอดีต.

อุปกรณ์และเทคนิคในการบำบัด

  1. การใช้ tuning fork (ส้อมเสียง) เป็นเครื่องมือหลักในการบำบัด.
  2. ส้อมเสียงทำหน้าที่ตรวจจับและปรับสนามพลังงานที่ไม่สมดุล.
  3. การเคลื่อนไหวส้อมเสียงในบริเวณต่าง ๆ รอบร่างกายช่วยระบุพลังงานติดขัด.
  4. เสียงสะท้อนจากส้อมเสียงบอกข้อมูลเกี่ยวกับสภาพอารมณ์และพลังงานของบุคคล.

การทำงานของสนามพลังงาน

  1. พลังงานที่ติดขัดในสนามพลังงานอาจแสดงออกในรูปของความเจ็บปวดหรือความเครียด.
  2. สนามพลังงานมี "หน่วยความจำ" ที่เก็บข้อมูลจากประสบการณ์ชีวิต.
  3. การบำบัดช่วยให้พลังงานไหลลื่นมากขึ้นและปลดปล่อยพลังงานที่ติดขัด.
  4. สนามพลังงานมีลักษณะเฉพาะตัวตามบุคคล.

จักระและสนามพลังงาน

  1. จักระทั้ง 7 มีบทบาทสำคัญในการบำบัดพลังงาน.
  2. แต่ละจักระสัมพันธ์กับอวัยวะและสภาพจิตใจเฉพาะด้าน.
  3. การปรับเสียงสามารถช่วยเปิดหรือปรับสมดุลจักระที่ติดขัด.
  4. การบำบัดพลังงานช่วยกระตุ้นกระบวนการฟื้นฟูภายในร่างกาย.

ผลกระทบของการบำบัด

  1. การปรับสนามพลังงานช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล.
  2. บำบัดพลังงานส่งผลต่อการนอนหลับและสุขภาพจิตที่ดีขึ้น.
  3. การปลดปล่อยพลังงานติดขัดช่วยให้เกิดความชัดเจนทางจิตใจ.
  4. การฟื้นฟูพลังงานช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย.

แนวทางปฏิบัติสำหรับการบำบัด

  1. ผู้บำบัดต้องฝึกการรับรู้พลังงานผ่านการสังเกตเสียง.
  2. การฝึกสมาธิช่วยเพิ่มความไวต่อการตรวจจับพลังงาน.
  3. การเคลื่อนไหวช้า ๆ ของส้อมเสียงรอบร่างกายช่วยตรวจสอบความสมดุล.
  4. การบำบัดต้องทำในสภาพแวดล้อมที่สงบและไม่มีสิ่งรบกวน.

การตีความและการใช้งาน

  1. การเปลี่ยนแปลงเสียงของส้อมเสียงบ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงของสนามพลังงาน.
  2. การบำบัดเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาทางอารมณ์หรือความเครียดเรื้อรัง.
  3. การปรับสมดุลพลังงานช่วยเสริมการรักษาทางการแพทย์แบบดั้งเดิม.

แนวคิดด้านจิตวิญญาณ

  1. สนามพลังงานสัมพันธ์กับจิตวิญญาณและความเชื่อส่วนบุคคล.
  2. การบำบัดช่วยเสริมสร้างการเชื่อมโยงระหว่างจิตใจ ร่างกาย และวิญญาณ.
  3. การฟื้นฟูพลังงานเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาตนเองและการเติบโตภายใน.

กรณีศึกษาและประสบการณ์จริง

  1. หนังสือนำเสนอกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับผลลัพธ์เชิงบวกจากการบำบัด.
  2. ตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงด้านสุขภาพและอารมณ์.

คำแนะนำสำหรับผู้อ่าน

  1. การเรียนรู้การบำบัดด้วยเสียงเป็นทักษะที่พัฒนาได้.
  2. การทดลองใช้การบำบัดกับตนเองช่วยเพิ่มความเข้าใจในกระบวนการ.
  3. การเปิดใจยอมรับแนวคิดเกี่ยวกับพลังงานช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัด.

ผลลัพธ์ระยะยาว

  1. การบำบัดพลังงานส่งผลให้เกิดความสงบและความสมดุลในชีวิต.
  2. การปรับสนามพลังงานเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสุขภาพที่ยั่งยืน.

การบำบัดด้วยเสียง (Sound Healing)

ตัวอย่างการบำบัดด้วยคลื่นเสียง (ขอบคุณข้อมูลจาก Chat GPT)

การบำบัดด้วยเสียง (Sound Healing) เป็นวิธีที่ใช้การสั่นสะเทือนของเสียงเพื่อปรับสมดุลสนามพลังงานของร่างกายและจิตใจ โดยเสียงที่มีความถี่เฉพาะจะช่วยจัดการพลังงานในร่างกายที่อาจติดขัดหรือไม่สมดุล และช่วยให้พลังงานไหลเวียนได้ดีขึ้น เสียงเหล่านี้มักถูกสร้างโดยเครื่องมือ เช่น ส้อมเสียง (Tuning Forks), เสียงร้อง (Vocal Toning), ชามร้อง (Singing Bowls) หรือ กลอง (Drums)

ตัวอย่างการใช้การบำบัดด้วยเสียง:

  1. ส้อมเสียง (Tuning Forks):

    • การทำงาน: ใช้ส้อมเสียงที่มีย่านความถี่เฉพาะ (เช่น 174 Hz หรือ 528 Hz) แตะหรือเคาะให้เกิดการสั่นสะเทือน แล้วนำไปเคลื่อนที่รอบ ๆ ร่างกายในบริเวณที่มีพลังงานติดขัด
    • ตัวอย่าง: หากผู้รับการบำบัดมีความเครียดที่สะสมอยู่บริเวณไหล่ ผู้บำบัดจะใช้ส้อมเสียงตรวจจับพลังงานในบริเวณนั้น และใช้การสั่นสะเทือนปรับสมดุลพลังงานเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายและลดความตึงเครียด
  2. ชามร้อง (Singing Bowls):

    • การทำงาน: การเคาะหรือหมุนขอบชามร้องเพื่อสร้างเสียงที่ก้องกังวานและสั่นสะเทือนในห้องหรือบริเวณที่ต้องการบำบัด
    • ตัวอย่าง: หากมีคนประสบกับปัญหานอนไม่หลับ การบำบัดด้วยเสียงจาก Singing Bowl ที่มีย่านเสียงต่ำและนุ่มนวลจะช่วยให้สมองเข้าสู่ภาวะผ่อนคลายและสงบเพื่อให้หลับได้ง่ายขึ้น
  3. การร้องด้วยเสียง (Vocal Toning):

    • การทำงาน: การใช้เสียงของมนุษย์ เช่น การเปล่งเสียง "อา" "โอม" หรือ "ฮัม" ด้วยโทนเสียงที่สม่ำเสมอและยาวนาน
    • ตัวอย่าง: คนที่มีปัญหาอารมณ์ไม่สมดุลหรือเครียด อาจลองเปล่งเสียง "โอม" ซ้ำ ๆ เพื่อกระตุ้นจักระหัวใจและช่วยปรับสมดุลพลังงานในร่างกาย
  4. การใช้ความถี่เฉพาะในการบำบัด (Frequency-Based Healing):

    • การทำงาน: ใช้เครื่องเสียงที่ออกแบบมาเพื่อสร้างคลื่นความถี่เฉพาะ เช่น 432 Hz (ความถี่ที่เชื่อว่าเป็น "ความถี่แห่งธรรมชาติ") หรือ 528 Hz (ความถี่ที่เชื่อมโยงกับการฟื้นฟู DNA)
    • ตัวอย่าง: เปิดเพลงบำบัดในความถี่ 528 Hz ระหว่างการนั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟูจิตใจและช่วยเพิ่มสมาธิ

ประโยชน์ของการบำบัดด้วยเสียง:

  • ลดความเครียดและความวิตกกังวล
  • ส่งเสริมการผ่อนคลายและการนอนหลับ
  • ปลดปล่อยพลังงานที่ติดขัดในร่างกาย
  • ฟื้นฟูสมดุลพลังงานและสุขภาพโดยรวม

การบำบัดด้วยเสียงเป็นการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และศิลปะที่ช่วยส่งเสริมการฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ โดยไม่ต้องพึ่งยา หรือการรักษาที่ซับซ้อน

 

 

โรคโลหิตจาง (ธาลัสซีเมืย)

การดูแลสุขภาพ สำหับคนที่เป็นโรคโลหิตจาง 

โรคโลหิตจางที่เกิดจากเม็ดเลือดแดงแตกตัวเร็ว เรียกว่า โรคโลหิตจางชนิด Hemolytic Anemia สาเหตุเกิดจากการทำลายเม็ดเลือดแดงเร็วกว่าปกติ อาจเกิดจากพันธุกรรม การติดเชื้อ หรือปัจจัยอื่น เช่น ยา สารเคมี หรือโรคภูมิคุ้มกัน โดยวิธีการป้องกันและดูแลรักษาโรคนี้จะขึ้นอยู่กับสาเหตุ ดังนี้:

1. ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

  • ตรวจเลือดและวินิจฉัยเพื่อระบุว่ามีสาเหตุจากโรคพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย (Thalassemia) หรือ G6PD Deficiency
  • หรือตรวจหาโรคภูมิคุ้มกัน เช่น โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Autoimmune Hemolytic Anemia)

2. หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตก

  • หากเป็น G6PD Deficiency:
    • หลีกเลี่ยงอาหารและยา เช่น ถั่วปากอ้า (fava beans) ซัลฟา (sulfa drugs) หรือยาแอสไพริน
  • หากแพ้สารเคมี: หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมีที่เป็นพิษ เช่น สารปรอท

3. เสริมอาหารที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง

  • บริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก เช่น เนื้อแดง ตับ ไข่แดง
  • รับวิตามินที่จำเป็น เช่น
    • โฟเลต (Folate): ผักใบเขียว เช่น ผักโขม บร็อคโคลี
    • วิตามินบี12: อาหารทะเล เนื้อสัตว์ นม
    • วิตามินอี: อะโวคาโด ถั่วต่าง ๆ

4. รักษาและควบคุมการติดเชื้อ

  • หากมีการติดเชื้อ ควรรักษาอย่างทันท่วงที เพราะการติดเชื้อบางชนิดอาจกระตุ้นให้เม็ดเลือดแดงแตก เช่น ไวรัสบางชนิด หรือมาลาเรีย

5. การรักษาด้วยยา (ตามคำสั่งแพทย์)

  • หากเป็นโรคภูมิคุ้มกัน (Autoimmune):
    • ใช้ยา สเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบ
    • หรืออาจต้องใช้ ยากดภูมิคุ้มกัน ในกรณีที่จำเป็น
  • หากเกิดจากการติดเชื้อ: ใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัสตามความเหมาะสม

6. การรักษาด้วยวิธีอื่น

  • การถ่ายเลือด (Blood transfusion): ในกรณีที่มีภาวะโลหิตจางรุนแรง
  • การตัดม้าม (Splenectomy): หากม้ามเป็นตัวทำลายเม็ดเลือดแดงในปริมาณมาก
  • การปลูกถ่ายไขกระดูก: ในกรณีที่เป็นโรคพันธุกรรมรุนแรง เช่น ธาลัสซีเมีย

7. ดูแลร่างกายทั่วไป

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรง
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ เพราะอาจกระทบการสร้างเม็ดเลือดแดง

สรุป

การดูแลไม่ให้เม็ดเลือดแดงแตกตัวเร็ว ต้องอาศัยการวินิจฉัยที่ชัดเจนและการป้องกันสาเหตุเฉพาะตัว เช่น หลีกเลี่ยงสารกระตุ้นหรืออาหารที่ส่งผลเสีย พร้อมทั้งเสริมสารอาหารที่ช่วยบำรุงเลือด หากมีข้อสงสัยหรืออาการแย่ลง ควรพบแพทย์เฉพาะทางทันทีเพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสมค่ะ!

Free Joomla templates by Ltheme